วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2557

Ferguson’s Formula - สูตรความสำเร็จของเฟอร์กูสัน

Ferguson’s Formula

ในแวดวงกีฬาบุตบอล คงไม่มีใครไม่รู้จักผู้ชายที่ชื่อว่า Sir Alex Ferguson
ผู้ที่นำความสำเร็จมาสู่ทีมสโมสร Manchester United มาอย่างยาวนาน

ชีวิต แนวคิด วิธีบริหารจัดการของ Ferguson เป็นที่น่าสนใจเรียนรู้เป็นอย่างมาก ทำอย่างไรถึงทำให้ทีมธรรมดาๆในสมัยที่ Ferguson เริ่มเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมสามารถก้าวขึ้นมาเป็นทีมอันดับ 1 ของเกาะอังกฤษ และเป็นสโมสรแนวหน้าของโลกได้

Harvard Business School ได้เข้าไปสัมพาษณ์และทำวิจัย และออกมาเป็นบทความให้เราได้อ่านกันว่า สูตรความสำเร็จของ Ferguson คืออะไร


Source: Internet


ใครสนใจอ่านบทความแบบเต็มๆกดตาม link นี้ได้เลยครับ
http://hbr.org/2013/10/fergusons-formula/ar/1


ผมขอเล่าบางส่วนที่สำคัญและน่าสนใจจากบทความนี้


บางคนบอกว่าเขาคือโค้ชที่ยอดเยียมที่สุดในประวัติศาสตร์
Some call him the greatest coach in history

ก่อนที่เขาจะเกษียณตัวเองในเดือน พฤษภาคม 2013 Sir Alex Ferguson เป็นผู้จัดการทีม Manchester United ถึง 26 ฤดูกาล ทำทีมได้แชมป์ลีคสูงสุดของอังกฤษ 13 ครั้ง และชนะอีก 25 รายการ ทั้งในอังกฤษและนอกอังกฤษ

นอกจากนั้นเขายังเป็นมากกว่าโค้ช  เขายังเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์กลางองค์กร เขาบริหารจัดการไม่เพียงแต่ทีมชุดแรกเท่านั้น แต่เค้ายังบริหารจัดการทั้งสโมสรอีกด้วย
David Gill ได้กล่าวไว้ว่า ถ้าเปรียบ Steve Jobs คือ Apple, Sir Alex Ferguson ก็คือ Mancherster United
And Ferguson was far more than a coach. He played a central role in the United organization, managing not just the first team but the entire club. “Steve Jobs was Apple; Sir Alex Ferguson is Manchester United,” says the club’s former chief executive David Gill.


Anita Elberse ได้ไปค้นหาและสัมภาษณ์ เกี่ยวกับความสำเร็จและมีพลังอยู่เสมอของ Sir Alex Ferguson โดย Ferguson และ Anita ได้พูดคุยถึง 8 บทเรียนสำคัญที่นำมาจากประสบการณ์ตรงในการทำงานของ Ferguson 

เรามาเรียนรู้สูตรความสำเร็จของ Sir Alex Ferguson กันครับ

Source: Internet
Ferguson’s Formula

1. Start with the Foundation - เริ่มต้นจากพื้นฐาน

หลังจาก Ferguson รับตำแหน่งที่ Mancherster ในปี 1986 เขาได้มองถึงการสร้างโครงสร้างระยะยาวของทีมเยาวชนของสโมสร เขาได้สร้างศูนย์เยาวชนขึ้นมา 2 แห่ง เพื่อพัฒนาเยาวชนเหล่านี้ขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ และเพิ่มแมวมองของทีมเพื่อดึงนักตะหนุ่มที่มีพรสวรรค์เข้าสู่ทีม
He established two “centers of excellence” for promising players as young as nine and recruited a number of scouts, urging them to bring him the top young talent.

โดยตัวอย่างของนักเตะที่รู้จักและโด่งดังจากศูนย์เยาวชนที่ Ferguson ลงทุนลงแรงไปนี้ คือ David Beckham, Ryan Giggs, Paul Scholes และ Gary Neville เป็นต้น และพวกเขาทั้งหมดก็กลายมาเป็นกำลังสำคัญของ Ferguson ในทีมที่ยิ่งใหญ่ในช่วง ปีทศวรรษ 1990s และต้น 2000s

Ferguson ได้กล่าวถึงความแตกต่างระหว่างการสร้างทีมซึ่งผู้จัดการทีมส่วนมากจะมุ่งไป กับการสร้างสโมสร
He talks about the difference between building a team, which is what most managers concentrate on, and building a club.

เข้าได้กล่าวต่ออีกว่า จากจุดที่เริ่มต้นกับ United เขาคิดอยู่สิ่งเดียวคือ สร้างสโมสรฟุตบอล เขาต้องการสร้างจากฐานรากของสโมสร ซึ่งมันจะเป็นฐานกำลังที่สำคัญกับทีมชุดใหญ่ จาก approach นี้เองทำให้นักเตะเติบโตมาด้วยกัน สร้างความผูกพัน และสร้างทีม Spirit ที่แข็งแกร่งขึ้นมา
From the moment I got to Manchester United, I thought of only one thing: building a football club. I wanted to build right from the bottom


2. Dare to Rebuild Your Team - กล้าที่จะสร้างทีมใหม่อย่างชาญฉลาด

แม้ว่าในช่วงที่ประสปความสำเร็จเป็นอย่างมาก Ferguson ก็ยังทำงานที่จะปรับเปลี่ยนและสร้างทีมใหม่ เขาไม่ได้ยึดติดกับความสำเร็จที่ได้แขมป์ถึง 5 ครั้งในเวลานั้น การตัดสินใจของเขาอยู่บนพื้นฐานที่ชาญฉลาดเป็นอย่างมากในการเข้าใจทีมของตนและเข้าใจถึงวงจรนักเตะ เขารู้ว่าจะหานักตะประเภทไหนที่จะนำความสำเร็จมาสู่ทีม Ryan Giggs กล่าวว่า เขาไม่ได้มองแค่เฉพาะในเวลานั้น แต่เขามองถึงอนาคตเสมอ
“He’s never really looking at this moment, he’s always looking into the future,” Ryan Giggs told us. “Knowing what needs strengthening and what needs refreshing—he’s got that knack.”

จากสถิติในช่วงนั้น Manchester United ได้แชมป์พรัเมียร์ลีค 5 ครั้ง โดยใช้เงินซื้อนักเตะใหม่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่สำคัญอย่าง Chelsea, Mancherster City และ Liverpool  ซึ่งเหตุผลหนึ่งก็มาจากทีมเยาวชนของสโมสรที่มีความแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ
 In the past decade, during which Manchester United won the English league five times, the club spent less on incoming transfers than its rivals Chelsea, Manchester City, and Liverpool did. One reason was a continued commitment to young players.


3. Set High Standards—and Hold Everyone to Them - ตั้งมาตรฐานให้สูงและให้ทุกคนยึดถือ

Ferguson กล่าวว่า เขาต้องการปลูกฝังค่าในนักเตะ มากกว่าจะให้ technical skill เขาต้องการกระตุ้นเหล่านักเตะให้ต่อสุู้และไม่ยอมแพ้อยู่เสมอ หรือกล่าวได้ว่าทำให้นักเตะเป็นผู้ชนะ
Ferguson speaks passionately about wanting to instill values in his players. More than giving them technical skills, he wanted to inspire them to strive to do better and to never give up—in other words, to make them winners.

Ferguson พยายามหาหานักตะที่มีทัศนคติเหมือนตน คือ เป็นผู้แพ้ที่ยาก (bad losers) และมีความต้องการที่จะทำงานอย่างหนัก ตลอดระยะเวลาผ่านมาจากทัศนคติก็กลายมาเป็นค่านิยมของสโมสร ที่ไม่ว่าใครก็ซึมซับและปฏิบัติตาม
Ferguson looked for the same attitude in his players. He recruited what he calls “bad losers” and demanded that they work extremely hard. Over the years this attitude became contagious


4. Never, Ever Cede Control - ไม่มีทางยกให้(คนอื่น)ควบคุม

อย่าให้ควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะทำงานกับนักเตะแนวหน้ามืออาชีพ 30 คน ที่รวยเป็นมหาเศรษฐีแล้ว และถ้ามีใครต้องการจะท้าทายถึง Authority และการควบคุม ของ Furguson เขาจะจัดการกับคนเหล่านั้น
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญในการรักษาไว้ซึ่งมาตรฐานที่สูง
“You can’t ever lose control—not when you are dealing with 30 top professionals who are all millionaires,” Ferguson told us. “And if any players want to take me on, to challenge my authority and control, I deal with them.”


5. Match the Message to the Moment - สื่อสารอย่างมีศิลปะ

เมื่อเวลาที่ต้องบอกนักเตะคนที่คาดหวังว่าจะได้ลงสนามแต่ดันไม่ได้ลงเป็นตัวจริง Ferguson จะมีวิธีละเอียดอ่อนในการบอกกล่าวนักเตะคนนั้นถึงเหตุผล และให้ความมั่นใจแก่เขา และบอกว่ามันเป็นเพียงเพราะแทคติคทีมที่วางไว้ และมีเกมส์ใหญ่รออยู่
When he had to tell a player who might have been expecting to start that he wouldn’t be starting, he would approach it as a delicate assignment. “I do it privately,” he told us. “It’s not easy. I say, ‘Look, I might be making a mistake here’—I always say that—‘but I think this is the best team for today.’ I try to give them a bit of confidence, telling them that it is only tactical and that bigger games are coming up.”


6. Prepare to Win - เตรียมพร้อมที่จะชนะ

ทีมของ Ferguson เหมือนจะมีเคล็ดลับในการกลับมาเอาชนะช่วงท้ายเกมส์ ผลจากการวิเคราะห์เกมส์ 10 ฤดูกาล เผยว่า United มีสถิติที่ดีกว่าในช่วงครึ่งเวลาหลัง และเมื่อเหลือเวลาอีก 15 นาที มากกว่าสโมสรอื่นๆในพรีเมียร์ลีค การกระตุ้นและแก้เกมส์ระหว่างพักครึ่งได้ผลอย่างไม่ต้องสงสัย

Ferguson ได้เตรียมทีมของเขาเพื่อเป็นผู้ชนะ  เขาให้ผู้เล่นฝึกซ้อมว่าจะทำอย่างไรถ้าต้องการประตูในขณะที่เวลาเหลือ 10, 5 หรือ 3 นาที "เราฝึกเพื่อสำหรับสถานการณ์ที่ยากลำบาก ดังนั้นเรารู้ว่าเราจะประสบความสำเร็จเมื่อสถานการณ์นั้นมาถึง" หนึ่งในสตาฟโค้ช United กล่าว
He had players regularly practice how they should play if a goal was needed with 10, five, or three minutes remaining. “We practice for when the going gets tough, so we know what it takes to be successful in those situations,” one of United’s assistant coaches told us.

การชนะเป็นธรรมชาติของเขา เขาได้เซ็ตเป็นมาตรฐานมาอย่างยาวนานซึ่งไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฉันต้องชนะ เขาคาดหวังที่จะชนะทุกครั้ง แม้ว่าจะมีนักเตะตัวหลักบาดเจ็บถึง 5 ราย เขาก็ยังหวังที่จะชนะ
Winning is in my nature. I’ve set my standards over such a long period of time that there is no other option for me—I have to win. I expected to win every time we went out there. Even if five of the most important players were injured, I expected to win.


7. Rely on the Power of Observation - ให้ความไว้วางใจกับพลังในการสังเกตการณ์

ที่ Manchester United เขาได้มอบหมายให้ผู้ช่วยของเขาดูแลการฝึกซ้อมของนักเตะ  แต่เขาจะเข้าร่วมด้วยและคอยดูอยู่เสมอ การที่เปลี่ยนจากการ coaching มาเป็นการสังเกตการณ์ จะทำให้เขาสามารถที่จะประเมินความสามารถนักเตะได้ดีมากขึ้น การที่เป็นโค้ชอยู่ในสนามจะมองไม่เห็นทุกอย่าง การสังเกตเป็นประจำต่างหากละที่จะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการซ้อม เห็นระดับพลังงานและอัตราการทำงาน
he increasingly delegated the training sessions to his assistant coaches. But he was always present, and he watched. The switch from coaching to observing, he told us, allowed him to better evaluate the players and their performances. “As a coach on the field, you don’t see everything,” he noted. A regular observer, however, can spot changes in training patterns, energy levels, and work rates.

กุญแจสำคัญคือมอบหมายการดูแลโดยตรงให้คนอื่นและเชื่อใจคนนั้นในการทำงานของเค้า จะทำให้ผู้จัดการทีมสังเกตการณ์ได้อย่างดียี่ยม
The key is to delegate the direct supervision to others and trust them to do their jobs, allowing the manager to truly observe.


8. Never Stop Adapting - ไม่หยุดที่จะปรับเปลี่ยน

ในยุคสมัยของ Ferguson โลกของฟุตบอลนั้นได้เปลี่ยนไปอยู่เสมอ จากเรื่องทางการเงินเข้ามาเกี่ยวข้องจนไปสู่ยุคที่วิทยาศาสตร์มีผลต่อนักเตะมากขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก และยิ่งยากขึ่นไปอีกเมื่ออยู่ระดับ Top อย่างยาวนาน
In Ferguson’s quarter of a century at United, the world of football changed dramatically, from the financial stakes involved (with both positive and negative consequences) to the science behind what makes players better. Responding to change is never easy, and it is perhaps even harder when one is on top for so long.

ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 Ferguson เป็นผู้จัดการทีมคนแรกที่ส่งนักเตะเยาวชนจำนวนมากลงสนามในฟุตบอลรายการ League Cup แต่ตอนมาสิ่งนี้กลายเป็นสิ่งที่ธรรมดาสำหรับทีมในพรีเมียร์ลีค และเขาก็เป็นคนแรกที่มีศุนย์หน้าตัวหลักถึง 4 คนไว้ใช้งานในต่อฤดูกาล และสิ่งเหลานี้ก็เป้นกุญแจสู่ความสำเร็จในช่วงฤดูกาล 1998-1999 เขาสามารถพา United คว้า Treble Champ ประกอบไปด้วย Premier League, FA Cup และ Champions League

นอกสนาม Ferguson ได้ทำการขยายห้องของ Staff และมอบหมายให้ในส่วนวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามาช่วย และเขาได้ทำตามคำแนะนำของเหล่านักวิทยาศาตร์การกีฬา โดยการตั้งซุ้มวิตามิน D ในห้องแต่งตัวนักเตะ เพื่อชดเชยการอ่อนล้าจากแสงแดดใน Manchester   และ Ferguson ก็เป็นคนแรกที่จ้าง ผู้เชี่ยวชาญด้านสายตา สำหรับดูแลนักเตะ  และจ้างครูสอนโยคะในการทำงานร่วมกับนักเตะอีกด้วย



ความเห็นส่วนตัว
นักลงทุน/นักบริหาร/เจ้าของธุรกิจ ทุกคนสามารถนำ Ferguson's Formula ทั้ง 8 ข้อนี้ ไปประยุกต์ใช้กับการลงทุน/หน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเอง ได้เป็นอย่างดี ในการมองหา/บริหาร บริษัทที่มีทีมผู้บริหารที่มีความเก่งกาจ 
ที่ใส่ใจในโครงสร้างระยะยาวของบริษัท ไม่ได้มองเพียงแต่ระยะสั้นแต่มีการวางแผนในระยะยาว 
มีการกล้าที่ตัดสินใจปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างชาญฉลาด 
มีการตั้งมาตรฐานที่สูงและมีค่านิยมองค์กรที่ดี 
มีการ monitor ควมคุมทุกขั้นตอนอยู่สม่ำเสมอ และไม่ปล่อยให้ไม่มีการควบคุมเกิดขึ้น
มีการสื่อสารกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนอย่างมีศิลปะ
มีความกระหายที่จะชนะ ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ในตลาดนั้นๆ 
มีการสังเกตการเปลี่ยนแปลงหรือประสิทธิภาพของธุรกิจ 
และไม่เคยหยุดนิ่งกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป


Hope you all enjoy,

Hybrid Investor


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น